วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เกมภาษาอังกฤษที่เหมาะสำหรับครูไทยสามารถนำเอาใช้สอนในห้องเรียน

Airplane competition: เริ่มด้วยการให้นักเรียนทำเครื่องบินกระดาษขึ้นมา ให้นักเรียนยืนเรียงกันเป็นแถวและลองร่อนเครื่องบินนั้น จากนั้น กำหนดคะแนนให้กับของแต่ละอย่างในห้อง เช่น โต๊ะมี 5 คะแนน ประตูมี 10 คะแนน ถังขยะมี 20 คะแนน ถามคำถามนักเรียน หากนักเรียนตอบถูกจะได้ร่อนเครื่องบินหนึ่งครั้ง โดยพยายามร่อนให้เครื่องบินกระดาษไปลงตรงเป้าหมายเพื่อเก็บคะแนนให้ได้มากที่สุด เกมนี้เหมาะจะเล่นเป็นทีม
Art Gallery: เกมนี้เหมาะสำหรับการทบทวนคำศัพท์ เริ่มด้วยการลากเส้นสี่เหลี่ยมบนกระดานให้ใหญ่พอที่นักเรียนแต่ละคนจะสามารถวาดรูปลงไปได้ ให้นักเรียนเขียนชื่อของตัวเองเหนือกรอบสี่เหลี่ยมนั้น จากนั้นครูพูดคำออกมาและให้นักเรียนวาดรูปตามคำนั้น (ควรเป็นคำนามง่ายๆ เช่น "dog, bookcase, train" หรือพูดออกมาในรูปโครงสร้างของกริยาก็ได้ เช่น "draw a man running, eating cake, sleeping" หรือคำคุณศัพท์เช่น "draw a big elephant, an angry lion, an expensive diamond ring") พอนักเรียนวาดเสร็จ ครูก็ให้คะแนนกับนักเรียนแต่ละคน จากนั้นเริ่มรูปใหม่ต่อไป นักเรียนคนที่ได้คะแนนสูงสุดเมื่อเกมสิ้นสุดลงคือผู้ชนะ
Backs to the Board Game: เกมนี้เหมาะกับนักเรียนที่เรียนชั้นสูง แบ่งนักเรียนออกเป็นสองทีม ให้แต่ละทีมส่งตัวแทนมาหน้าชั้นหนึ่งคน ยืนหันหลังให้กระดานดำ ครูเขียนคำหรือวาดรูปบนกระดานดำ เช่น "hamburger" สมาชิกในทีมต้องพยายามอธิบายคำให้เพื่อนทายให้ได้ เช่น You can buy it in McDonalds, it's got cheese and ketchup in it. นักเรียนทีมไหนตอบได้ก่อนทีมนั้นได้คะแนน
Basketball: เป็นเกมให้นักเรียนโยนบอลลงตะกร้า จะเป็นถังขยะ กล่อง หรืออะไรก็ได้ เริ่มต้นด้วยการถามคำถามนักเรียนคนที่ 1 นักเรียนที่ตอบถูกจะได้โยนบอลลงตะกร้า หากโยนลงนักเรียนได้ 2 คะแนน แต่หากบอลโดนตะกร้าแต่ไม่ลงนักเรียนได้ 1 คะแนน คนที่ได้คะแนนสูงที่สุดคือผู้ชนะ เกมนี้จะเล่นเดี่ยวหรือเล่นเป็นทีมก็ได้
Bingo: จะใช้เลขประจำตัวนักเรียน ชื่อนักเรียน รูปภาพ หรือคำก็ได้ ผู้ชนะคือคนที่บิงโกเส้นตรงได้ก่อน หรือลากเส้นบิงโกได้เต็มแผ่นก่อน
Blindfold Course: สร้างเครื่องกีดขวางขึ้นในห้องเรียน ใช้โต๊ะนักเรียนหรือเก้าอี้นักเรียนก็ได้ ให้นักเรียนคาดผ้าปิดตาและช่วยบอกทางให้นักเรียนเดินเลี่ยงเครื่องกีดขวาง เช่น walk forward 2 steps, turn left, take on small step เป็นต้น เกมนี้เหมาะที่จะเล่นเป็นคู่
Blindfold Guess: ให้นักเรียนคาดผ้าปิดตาแล้วให้นักเรียนจับสิ่งของที่ครูเตรียมมา และทายว่าของชิ้นนั้นคืออะไร สิ่งของให้ทายที่ดีคือตุ๊กตาสัตว์เพราะน่าตื่นเต้นดี (ผมใช้ไดโนเสาร์มาเพิ่มบรรยากาศสนุกสนานในการเล่นเกมนี้เสมอ)  
Blindfold Questions: ให้นักเรียนยืนเป็นรูปวงกลม มีหนึ่งคนคาดผ้าปิดตายืนตรงกลางวงกลมนั้น ให้นักเรียนคนที่ปิดตาหมุนรอบตัวสองสามรอบ จากนั้นให้ชี้ไปที่นักเรียนคนที่อยู่ข้างหน้าและถามคำถาม เช่น "How old are you?",  "What's your favorite food? เมื่อได้รับคำตอบแล้ว นักเรียนคนที่คาดผ้าปิดตาต้องทายชื่อของเพื่อนนักเรียนที่พูดด้วย
Board Scramble: ครูเขียนพยัญชนะภาษาอังกฤษทั้งหมดคละกันลงบนกระดานดำ แต่ให้อยู่ในระดับต่ำพอที่นักเรียนจะเอื้อมถึง แบ่งนักเรียนออกเป็นสองทีมแล้วครูพูดพยัญชนะออกมาดังๆ หนึ่งตัว ใครหาพยัญชนะตัวนั้นเจอและวงกลมก่อนจะได้คะแนน ครูสามารถทำให้เกมยากขึ้นด้วยการเขียนตัวอักษรพิมพ์ใหญ่พิมพ์เล็กคละกัน และจะยิ่งยากขึ้นไปอีกหากแบ่งนักเรียนออกเป็นสี่ทีม เด็กๆ จะชอบเกมนี้มาก และสามารถเล่นได้ทั้งกับตัวอักษรและตัวเลข (ซูซี่แนะนำเกมนี้มา)
Buzz: เป็นเกมนับเลข ให้นักเรียนนั่งเป็นวงกลม ส่งบอลผ่านไปยังเพื่อนคนที่นั่งถัดไปพร้อมกับนับ 1, 2, 3... เมื่อนับถึง 7 นักเรียนทั้งหมดต้องพูดขึ้นมาว่า buzz (บั หมายถึง เสียงผึ้งร้องหึ่งหรือเสียงเครื่องบิน แล้วนับต่อ ทุกตัวเลขที่มี 7 อยู่ต้องทำเสียงนี้ขึ้นมา (7, 17, 27, 37, ...) และทุกตัวเลขที่เป็นผลคูณของ 7 ต้องทำเสียง buzz ด้วยเช่นกัน (14, 21, 28, 35,...)
Can You Actions: เกมนี้ใช้สอนการใช้"Can you...?" "Yes, I can." "No, I can't." กริยาหรือท่าทางต่อไปนี้จะทำให้เกมสนุก wiggle, dance, run quickly, hop, skip, do a star jump, do a handstand, touch your toes, cross your eyes, snap your fingers, whistle, sing  เช่น ถามนักเรียนว่า "Can you cross your eyes?" (ทำตาเขได้ไหม) หากนักเรียนตอบว่า "Yes, I can." ครูก็บอกว่า "Ok, go!" (งั้นทำให้ดูหน่อย/ปฏิบัติ) และนักเรียนก็แสดงกิริยาหรือท่าทางนั้นให้ดู หากนักเรียนตอบว่า "No, I can't" ให้ครูพูดว่า "Too bad.  Ok, can you wiggle?" (แย่จัง ถ้าอย่างนั้นหนูบิดตัวไปมาได้ไหม)   
Category Tag: เลือกหัวข้อที่จะเล่นก่อน เช่น อาหาร อากาศ การคมนาคม ฯลฯ ให้นักเรียนวิ่งไปรอบๆ ห้องและครูวิ่งไล่ตาม หากนักเรียนคนไหนถูกจับได้ต้องพูดชื่อในหัวข้อนั้นมาหนึ่งชื่อ เช่น หัวข้อ food: cheese, fish, bread, etc กำหนดเวลาให้นักเรียนว่าต้องพูดภายใน 5 วินาที 10 วินาที ฯลฯ หากนักเรียนไม่สามารถพูดชื่อออกมาได้ทันเวลาหรือพูดชื่อซ้ำกับที่คนอื่นพูดไปแล้ว นักเรียนคนนั้นต้องนั่งลงรอเล่นรอบต่อไป
Charades: ให้นักเรียนออกมายืนหน้าชั้นหนึ่งคน ครูกระซิบคำหรือยกป้ายภาพให้นักเรียนดู นักเรียนคนนั้นแสดงท่าทางตามคำที่ได้ยินหรือภาพที่เห็นให้เพื่อนๆ ดู นักเรียนคนไหนทายถูกว่าท่าทางนั้นคืออะไรจะเป็นคนต่อไปที่ได้ออกมาหน้าชั้น เกมนี้เหมาะกับกิริยาที่เป็นท่าทาง ครูอาจแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม นักเรียนกลุ่มไหนทายได้ก่อนกลุ่มนั้นก็ได้คะแนน
Colors in the Air: เกมนี้เหมาะกับนักเรียนประถมต้น ครูแจกกระดาษสีต่างๆ ให้นักเรียนคนละสองแผ่น ครูพูดสีออกมา เช่น "Blue" นักเรียนที่ถือกระดาษสีนั้นอยู่ก็ชูกระดาษขึ้นสูงๆ
Color Circles: เป็นกิจกรรมที่เหมาะสำหรับเด็กเล็ก ครูเอากระดาษขนาด A3 มาวาดรูปวงกลมหนึ่งวงในแต่ละแผ่น ติดวงกลมไว้กับผนังแต่ละด้านในห้องเรียน เล่นเกมให้ดูเป็นตัวอย่างก่อนด้วยการที่ครูพูดว่า "Blue" แล้วหยิบดินสอสีฟ้าไประบายลงในมุมเล็กๆ ของวงกลม ทำอย่างนี้กับทุกสีที่ต้องการจะสอน จากนั้นให้นักเรียนเป็นคนเล่น โดยครูบอกว่า "Blue" นักเรียนก็ควรจะหยิบดินสอให้ถูกสีและเดินไประบายลงในวงกลม ให้ระบายนิดเดียวแล้วเรียกนักเรียนกลับ เปลี่ยนให้คนอื่นไประบายสีบ้าง
Days of the Week March: ดูในเดือนมีนาคม
Dog & Cat Chase: ให้นักเรียนนั่งเป็นรูปวงกลม ครูเดินรอบวงนอกของนักเรียน แตะศีรษะนักเรียนแต่ละคนไปเรื่อยๆ พร้อมกับพูดว่า "dog" จากนั้น แตะศีรษะนักเรียนคนหนึ่งแล้วพูดว่า "cat" นักเรียนคนนั้น วิ่งไล่ครูไปรอบวงกลม ครูต้องพยายามวิ่งไปนั่งในที่ว่างนั้นก่อนจะถูกนักเรียนจับได้ หากนักเรียนแตะตัวครูได้ ครูต้องเดินแตะศีรษะนักเรียนไปรอบๆ อีก หากรอบนี้นักเรียนจับไม่ได้ นักเรียนคนนั้นจะต้องเป็นฝ่ายเดินแตะศีรษะเพื่อนๆ แทน คำที่ใช้สามารถเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ตามที่ครูต้องการสอนนักเรียน
Exercises: เกมนี้เหมาะสำหรับเด็กนักเรียนที่ซนและกระตือรือร้นตลอดเวลา เหมาะกับการฝึกให้นักเรียนเข้าใจคำสั่งและตัวเลขด้วย ให้นักเรียนยืนเรียงเป็นแถวหน้ากระดานและออกคำสั่ง เช่น "Jump 10 times", "Turn around 4 times" เป็นต้น หรืออาจจะใช้กริยาที่ออกแรงมากขึ้น เช่น run (ไปยังจุดๆ หนึ่ง), hop, hands up & down, touch your (body part), stand up & sit down and star jump. 
Fish: ก่อนเริ่มเล่นเกมครูต้องให้นักเรียนจับคู่กันวาดรูปปลาคนละตัวและตัดออกมา ขณะที่นักเรียนวาดและตัดรูปอยู่นี้ครูเอาแถบกระดาษกาวมาติดยาวบนพื้นสองแถว ให้ห่างกันสองสามเมตร ให้นักเรียนแต่ละคู่ยืนในแนวเดียวกันหลังเส้นแถบกระดาษกาวฝั่งหนึ่ง ครูถามคำถามกับนักเรียนคนแรก หากตอบถูกนักเรียนจะได้เป่าปลา กระดาษหนึ่งครั้ง จากนั้นครูถามคำถามกับนักเรียนอีกคน หากตอบถูกนักเรียนจะได้เป่าปลา กระดาษหนึ่งครั้ง ใครที่เป่าปลาไปถึงเส้นอีกฝั่งหนึ่งก่อนคนนั้นชนะ
Follow the leader: ให้นักเรียนยืนเข้าแถวข้างหลังครูและเดินตามครูไปรอบห้อง ครูทำท่าทางและพูดคำของท่านั้นออกมาดังๆ นักเรียนทำท่าและพูดตาม ท่าทางที่เหมาะจะนำมาเล่นเกมคือ wave, hello, goodbye, it's cold/hot, stop, go, run, hop, skip, crawl, walk backwards, jump, sit down, stand up
Give Me Game: ครูสามารถใช้สิ่งของ หรือีแฟลชการ์ด (แผ่นรูปภาพหรือคำถามที่มีชื่อภาพหรือหมายเลขอยู่ด้านหลัง) เกมนี้เหมาะจะเล่นกับผลไม้พลาสติก เก็บผลไม้ไว้ในกล่องและหยิบออกมาทีละอย่าง จากนั้นโยนผลไม้ทั้งหมดไปทั่วห้อง (การโยนผลไม้พลาสติกไปทั่วห้องและปล่อยให้นักเรียนไล่ตะครุบผลไม้เหล่านั้นทั่วห้องเป็นการสร้างบรรยากาศสนุกสนานอย่างหนึ่ง) พอนักเรียนเก็บผลไม้ทั้งหมดได้แล้วให้ครูพูดว่า "Give me an apple" นักเรียนคนที่เก็บแอ็ปเปิ้ลได้เดินไปหาครู ยื่นผลไม้ให้ครูพร้อมกับพูดว่า "Here you are" อย่าให้นักเรียนโยนผลไม้กลับมาเพราะผลไม้อาจลอยไปทางอื่นได้ทำให้เสียเวลาไล่จับอีก
Hangman: เป็นเกมเก่าแก่ที่นิยมเล่นกันมานาน เป็นเกมที่เหมาะกับการทบทวนคำศัพท์ที่เรียนมาแล้ว
I spy: ครูพูดว่า "I spy with my little eye something that begins with B" (ฉันมองเห็นอะไรบางอย่างขึ้นต้นด้วยอักษร B) นักเรียนพยายามทายว่าสิ่งนั้นคืออะไร เช่น "book" คำศัพท์เกี่ยวกับสีเหมาะที่จะเล่นกับนักเรียนเล็กๆ เช่น "I spy with my little eye something that is red"
Juice: นำน้ำผลไม้ขวดเล็กๆ มาที่ห้องเรียน เมื่อสอนไปได้สักพักครูก็เอาน้ำผลไม้นั้นขึ้นมาจิบ ชั่วขณะนี้นักเรียนตัวเล็กๆ จะหันไปพูดคุยกันเพราะอยากดื่มน้ำผลไม้บ้าง ให้ครูใช้โอกาสนี้สอนเด็กรู้จักประโยค "Can I have some juice, please?" ครูพูดประโยคนี้กับนักเรียนก่อนและนักเรียนพูดตาม หากนักเรียนพูดถูกต้องก็ให้นักเรียนได้จิบน้ำผลไม้นิดหน่อย ครูต้องนำน้ำผลไม้ไปที่ชั้นเรียนด้วยทุกครั้ง หลังจากนั้นสักพักนักเรียนจะพูดประโยคขอดื่มน้ำผลไม้นี้ได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ (หากไม่อยากให้นักเรียนดื่มจากปากขวดเดียวกัน ครูก็ควรนำแก้วพลาสติกเล็กๆ ไปไว้แบ่งด้วย)
Knock-Knock: เกมนี้ควรเล่นก่อนเริ่มบทเรียน สอนให้นักเรียนรู้จักการเคาะประตูก่อนเข้ามาในห้องเรียน ขั้นตอนต่อไป ครูพูด  "Who's there?" หลังจากที่นักเรียนเคาะประตู นักเรียนจะตอบว่า "It's (Kai)" แล้วครูพูดว่า "Come in (Kai)" หรืออาจจะเลือกใช้อีกวิธีคือ พอนักเรียนเคาะประตูแล้วครูทายว่านักเรียนคนนั้นเป็นใครด้วยการพูดว่า "Is that (Kai)?" หากนักเรียนตอบว่า no ครูก็ต้องทายต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถูก ทำให้เกมสนุกยิ่งขึ้นด้วยการให้นักเรียนแต่ละคนประดิษฐ์เสียงหรือจังหวะเคาะประตูของตัวเอง
Label It: เกมนี้เหมาะกับนักเรียนใหม่ทุกระดับอายุที่ต้องได้รับการฝึกฝนหรือสอนคำศัพท์ง่ายๆ หากนักเรียนสามารถแยกแยะเสียงของพยัญชนะแต่ละตัวได้ นักเรียนก็สามารถเล่นเกมนี้ได้แล้ว ใช้วิธีเขียนชื่อของสิ่งของทุกอย่างในห้องเรียนลงบนกระดาษและติดกระดาษไว้ที่ของสิ่งนั้น เพื่อทำให้นักเรียนคุ้นเคยกับชื่อเหล่านั้น จากนั้น ให้นักเรียนพูดตามขณะเก็บสิ่งของเหล่านั้นขึ้นมาแต่ละชิ้น วันต่อมาดึงป้ายชื่อออก และให้นักเรียนพูดชื่อสิ่งของเหล่านั้นทีละอย่างและนำป้ายไปแปะไว้ให้ถูกด้วย วันที่สาม ให้นักเรียนเเอาป้ายชื่อไปแปะที่ของชิ้นไหนก็ได้ที่นักเรียนต้องการ ทำกิจกรรมนี้ซ้ำสองสามวัน พอนักเรียนสามารถแปะป้ายลงบนสิ่งของได้ถูกต้องหมดโดยที่ครูไม่ต้องคอยตรวจแล้ว   ครูสามารถใช้กิจกรรมนี้กับคำศัพท์เกี่ยวกับคำนามที่สามารถแปะรูปลงไปได้ เช่น types of food, body parts, parts of a room in a house, animals เป็นต้น
Last Letter, First Letter: (เป็นเกมยอดฮิตของญี่ปุ่นเรียกว่า ชิริ โทริ) ให้นักเรียนนั่งเป็นวงกลมร่วมกับครู จากนั้นครูเริ่มพูดคำออกมา และนักเรียนทางขวามือของครูต้องพูดคำที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะตัวสุดท้ายของคำที่ครูพูด เช่น ครูพูดว่า bus นักเรียนพูด steak นักเรียนคนถัดไปพูด  key --- yellow --- etc. อย่างนี้ไปเรื่อยๆ เล่นไปจนกว่าจะมีคนต่อไม่ได้หรือพูดคำผิด
Line True or False: นำแถบกระดาษกาวมาติดไว้บนพื้นเป็นเส้นยาว ให้ฝั่งหนึ่งเป็น "True" อีกฝั่งหนึ่งเป็น "False" ชูสิ่งของหรือแฟลชการ์ด (แผ่นรูปภาพหรือคำถามที่มีชื่อภาพหรือหมายเลขอยู่ด้านหลัง) ขึ้นมาพร้อมกับพูดชื่อของสิ่งของหรือแฟลชการ์ดนั้น หากนักเรียนคิดว่าครูพูดถูกให้กระโดดไปอยู่หลังเส้นฝั่ง "True" หากผิดให้กระโดดไปที่เส้นฝั่ง "False" นักเรียนที่ตอบผิดให้นั่งรอจนกว่าจะเริ่มเกมรอบใหม่
Make Words Game: สุ่มเขียนพยัญชนะลงบนกระดานดำ ให้นักเรียนทำกิจกรรมเป็นคู่หรือกลุ่มเล็กๆ ช่วยกันสร้างคำขึ้นมาจากพยัญชนะที่ครูเขียนไว้บนกระดานให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่น พยัญชนะ g, h, a, t, p, e, c สามารถสร้างคำ cat, peg, tea, hat, get,  etc. ทีมที่สร้างคำได้มากที่สุดคือผู้ชนะ
Months March: เกมนี้ต้องใช้ห้องเรียนที่มีพื้นที่กว้างขวางพอที่นักเรียนทุกคนจะเดินมาร์ชไปมาได้ ครูยืนที่ฝั่งขวาทางปลายสุดฝั่งหนึ่งของห้อง นักเรียนยืนเรียงแถวตอนลึกต่อจากครู พอครูพูดว่า "Go!" ทุกคนก็เริ่มออกเดิน พอเริ่มก้าวครูต้องพูดชื่อเดือนออกมาตามลำดับ คือ "January", " February", ... และนักเรียนพูดตามแต่ละเดือน เช่น ครูพูดว่า "January" นักเรียนพูดตาม "January" เดินมาร์ชตามกันไปช้าๆ หลังตรง แขนสะบัดแข็งขัน พอเดินไปได้สักพักครูจะตะโกนอกมาดังๆ ว่า "Stop!" นักเรียนทุกคนก็ต้องหยุดโดยที่แถวตรงเป็นระเบียบในแนวเดียวกับครู ใครที่ยืนไม่ตรงแถวให้ขยับไปอยู่ท้ายสุดของแถว และเริ่มออกเดินต่อ พอถึงอีกปลายหนึ่งของห้องให้หันหลังกลับและออกเดินต่อโดยเดินให้กระฉับกระเฉงและเร็วขึ้น ในรอบสุดท้ายอาจจะเร็วขนาดวิ่งอย่างเป็นระเบียบกันก็ได้ กิจกรรมนี้จะสนุกยิ่งขึ้นหากมีอุปสรรคในห้อง เช่น โต๊ะนักเรียน เก้าอี้นักเรียน เป็นต้น เพราะจะทำให้นักเรียนได้ปีนข้ามหรือลอดใต้โต๊ะสนุกสนาน แต่หลังจากทำไปได้สองสามรอบ ครูควรจะให้นักเรียนเปล่งเสียงพูดเดือนแต่ละเดือนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ต้องพูดตามครูแล้ว
Name Game: กิจกรรมนี้เหมาะกับชั้นเรียนที่เจอกันวันแรก ให้นักเรียนนั่งเป็นรูปวงกลม ชี้ที่ตัวเองและบอกชื่อ "I'm Jason" จากนั้นเพื่อนๆ ที่เหลือทั้งห้องต้องพูดชื่อเพื่อนคนนี้ซ้ำโดยพร้อมเพรียงกัน
Number Codes: ตัดกระดาษรูปสี่เหลี่ยมและ เขียนเลข 0-9 บนกระดาษเหล่านั้น เอาตัวเลขใส่ไว้ในกล่อง ประกาศตัวเลขเพื่อให้นักเรียนล้วงเอากระดาษที่มีตัวเลขมาเรียงกันให้ถูกต้องตามที่ครูประกาศ เป็นเกมที่เหมาะกับการเรียนรู้หมายเลขโทรศัพท์ด้วย
Number Group Game: เปิดเพลงแล้วให้นักเรียนเดินรอบห้อง ครูหยุดเพลงทันทีและพูดตัวเลขออกมาดังๆ นักเรียนต้องรีบจับกลุ่มกันให้ได้จำนวนตามตัวเลขที่ครูพูดออกมา นักเรียนคนไหนที่ไม่มีกลุ่มอยู่ต้องออกไปนั่งรอนอกวงจนกว่าจะถึงรอบใหม่
Odd-One-Out: เขียนคำ 3-4 คำบนกระดาน ให้นักเรียนกากบาทคำที่ไม่เข้ากลุ่มออก เช่น cat - horse - cake - bird
Pass: ให้นักเรียนนั่งเป็นรูปวงกลมร่วมกับครู ครูชูสิ่งของหรือแฟลชการ์ด (แผ่นรูปภาพหรือคำถามที่มีชื่อภาพหรือหมายเลขอยู่ด้านหลัง) ขึ้นมาและพูดชื่อของๆ สิ่งนั้นหรือภาพๆ นั้น เช่น "Pen" แล้วส่งของหรือภาพนั้นให้นักเรียนคนที่นั่งถัดไป นักเรียนพูดชื่อของหรือภาพนั้นและส่งต่อให้เพื่อน ปรับให้ไม่ซ้ำซากจำเจได้ด้วยการเปลี่ยนจากซ้ายไปขวาหรือขวาไปซ้าย หรือทำให้เร็วขึ้น ส่งของต่อให้เร็วขึ้น และมีของหลากหลายยิ่งขึ้น
Puppet Conversation: ตุ๊กตามือหรือ แฮนด์ พับเพ็ต นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ห้องเรียนมีชีวิตชีวาได้ดี แล้วครูจะพบว่าเด็กเล็กที่อายเวลาต้องพูดกับครูรู้สึกดีที่ได้พูดกับตุ๊กตา ตุ๊กตาตลกๆ ที่พูดกับนักเรียนจะทำให้ได้ผลดีอย่างที่ครูเองก็คาดไม่ถึง ยกตัวอย่างการใช้ตัวการ์ตูน คุ๊กกี้ มอนสเตอร์ (Cookie Monster) ตอนเริ่มต้นสอนชั้นเด็กเล็กๆ ขั้นตอนที่ทำมีดังนี้ 1. ตอนนี้คุ๊กกี้ มอนสเตอร์นอนหลับอยู่ในถุง แล้วเด็กๆ ก็จะตะโกนเสียงดังลงไปในถุงว่า "Wake up Cookie Monster!" (ตื่นได้แล้วคุ๊กกี้ มอนสเตอร์!) เพราะนั่นเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ คุ๊กกี้ มอนสเตอร์ตื่นได้ 2. คุ๊กกี้ มอนสเตอร์กล่าวสวัสดีกับนักเรียนและถามคำถาม ไม่ว่าจะเป็นชื่อ หรือถามว่าสบายดีไหม อายุเท่าไร ฯลฯ เด็กๆจะตอบแล้วถามคำถามเดียวกันกลับไปยังคุ๊กกี้ มอนสเตอร์ 3. นักเรียนและคุ๊กกี้ มอนสเตอร์ร้องเพลง 'Hello Song' ด้วยกัน 4. คุ๊กกี้ มอนสเตอร์ กล่าวอำลากับนักเรียนทีละคนๆ และกลับไปหลับต่อในถุง แล้วชั้นเรียนจึงเริ่มเรียนจริงๆ กัน
Pictionary: เป็นกิจกรรมที่เหมาะกับการทบทวนคำศัพท์ เลือกนักเรียนมาหนึ่งคน ให้นักเรียนคนนั้นดูรูปภาพหรือกระซิบคำให้นักเรียนฟังหนึ่งคำ จากนั้นนักเรียนวาดภาพที่เห็นหรือได้ฟังจากครูลงบนกระดาน นักเรียนคนแรกที่ทายถูกว่ารูปนั้นคืออะไรจะเป็นคนต่อไปที่ได้วาดรูปลงบนกระดาน เกมนี้จะเล่นเป็นทีมให้นักเรียนแข่งกันสะสมคะแนนก็ได้
Preposition Treasure Hunt: เกมนี้ใช้ฝึกเรื่องบุพบทเกี่ยวกับสถานที่และ yes/no question และต้องใช้แถบกาว (สก็อตช์เทป) หรือแท็ค (ก้อนกาวที่คล้ายหมากฝรั่ง ใช้สำหรับติดกระดาษบนผนังหรือกระดาน) สาธิตให้นักเรียนดูโดยเอาสก็อตช์เทปหรือแท็คให้นักเรียนเอาไปซ่อนไว้ อาจจะเป็นใต้โต๊ะ หลังกรอบภาพ ฯลฯ ขณะนั้นให้ครูเดินออกไปนอกห้อง พอนักเรียนซ่อนสก็อตช์เทปหรือแท็คเสร็จครูจึงกลับเข้ามาในห้องและถามคำถาม (yes/no question) เพื่อหาว่านักเรียนเอาไปซ่อนที่ไหน เช่น Is it on the desk?, Is it near the desk?  Is it in the front half of the classroom?  Is it under the chair?  etc. พอหาเจอก็ให้เปลี่ยนนักเรียนมาเป็นคนถามคำถาม หากเป็นห้องเรียนใหญ่สามารถใช้วิธีให้นักเรียนเล่นเป็นคู่ได้
Question Chain: ให้นักเรียนนั่งเป็นรูปวงกลม ครูถามคำถามกับนักเรียนที่นั่งข้างๆ เช่น "What's your name?"  "Do you like chocolate cake?" etc. เมื่อนักเรียนตอบคำถามเสร็จให้นักเรียนคนนั้นหันไปถามคำถามเดียวกันนี้กับเพื่อนที่นั่งถัดไป พอครบรอบแล้วให้เปลี่ยนคำถามใหม่ ครูอาจทำให้เกมสนุกขึ้นด้วยการส่งผ่านลูกบอลไปด้วยขณะที่ถาม-ตอบ
Question Ball: ให้นักเรียนนั่งเป็นรูปวงกลม โยนหรือกลิ้งลูกบอลไปที่นักเรียนคนหนึ่งแล้วถามหนึ่งคำถาม ขั้นต่อไปมีสองวิธีให้เลือก วิธีที่ 1 นักเรียนโยนบอลกลับมาให้ครูและครูโยนบอลไปให้นักเรียนคนอื่นและถามคำถามใหม่ วิธีที่ 2 นักเรียนโยนบอลไปให้เพื่อนแล้วถามคำถามเดียวกัน
Rope Jump: เกมนี้ต้องใช้เชือก ให้นักเรียนยืนเข้าแถวตอนลึก ครูถือเชือกไว้ที่ปลายหนึ่งและนักเรียนถืออีกปลายหนึ่งไว้ในระดับความสูงที่นักเรียนสามารถกระโดดข้ามได้ วางสิ่งของหรือแฟลชการ์ด (แผ่นรูปภาพหรือคำถามที่มีชื่อภาพหรือหมายเลขอยู่ด้านหลัง) และกล่องไว้อีกฝั่งหนึ่งของเชือก เรียกชื่อสิ่งของหรือแฟลชการ์ดอย่างแรก นักเรียนกระโดดข้ามเชือกหยิบของขึ้นมาให้ถูกต้องและหย่อนลงไปในกล่อง พอขึ้นรอบใหม่ก็ลดระดับเชือกให้ต่ำลงเรื่อยๆ จนนักเรียนต้องคลานลอดไป
Shopping: เกมนี้ใช้ได้กับของหลากหลายชนิด (่ผลไม้จำลองหรือผลไม้พลาสติกดีที่สุด) ให้นักเรียนมายืนรวมกันและครูชูของแต่ละอย่างให้ดู ถามนักเรียนว่า "What do you want?" (หรืออาจจะถามว่า "What would you like?" สำหรับนักเรียนชั้นสูงขึ้นไป) นักเรียนอาจจะตอบว่า "An apple, please" ครูพูดต่อว่า "Here you are" แล้วนักเรียนก็ปิดท้ายด้วยการพูดว่า "Thank you" และปิดเกมด้วยเกม 'Give Me
Simon Says: เป็นกิจกรรมที่ดีสำหรับการทบทวนเรื่องส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น "Simon says touch your knees" ครูอาจจะเปลี่ยนชื่อ Simon เป็นชื่อของครูหรือชื่ออื่นก็ได้ เมื่อไรก็ตามที่ครูไม่ได้พูดคำว่า "Simon" เช่น "Touch your knees" นักเรียนจะต้องไม่ทำตามคำสั่ง หากนักเรียนทำผิดให้นั่งรอจนกว่าจะถึงรอบต่อไป
Slam: ให้นักเรียนนั่งเป็นวงกลม วางสิ่งของหรือแฟลชการ์ด (แผ่นรูปภาพหรือคำถามที่มีชื่อภาพหรือหมายเลขอยู่ด้านหลัง) ไว้กลางวง บอกให้นักเรียนวางมือทั้งสองข้างไว้บนศีรษะ พอครูพูดชื่อสิ่งของใดออกมาดังๆ นักเรียนก็ต้องรีบวิ่งไปแตะของสิ่งนั้น ใครได้แตะก่อนก็ได้ของสิ่งนั้นไป ใครสะสมของได้มากที่สุดในตอนท้ายเกมเป็นผู้ชนะ
Spelling Bee: ให้นักเรียนทั้งหมดมายืนอยู่หน้าชั้น บอกคำหนึ่งคำให้นักเรียนคนแรกสะกด นักเรียนสะกดออกมาดังๆและครูเขียนคำสะกดนั้นลงบนกระดาน หากสะกดผิดนักเรียนคนนั้นต้องออกจากเกมไป นักเรียนคนที่ยืนหยัดเหลือเป็นคนสุดท้ายคือผู้ชนะ เกมนี้จะเล่นเป็นทีมก็ได้
Spin the Bottle: ให้นักเรียนนั่งเป็นรูปวงกลม วางขวดไว้ตรงกลางวง ครูหมุนขวดนั้น พอขวดหยุดหมุนหันปากขวดไปที่นักเรียนคนใดนักเรียนคนนั้นต้องตอบคำถาม หากตอบถูกนักเรียนคนนั้นจะเป็นคนหมุนขวดต่อ เป็นกิจกรรมอุ่นเครื่องที่ดีก่อนเริ่มบทเรียน
There is/there are: สำหรับฝึกใช้ there is/there are ให้รายการคำถามกับนักเรียน ให้นักเรียนเดินไปทั่วโรงเรียนเพื่อหาคำตอบสำหรับคำถามเหล่านั้น คำถามอาจจะเป็น
How many doors are there in the school?
How many teachers are there in the school in this moment?
How many plants are there in the hall?
How many tables are there in the classroom?, etc. 

Time Bomb: ต้องใช้ระเบิดเวลาในการเล่นเกมนี้ เช่น นาฬิกาจับเวลาลวกไข่ ตั้งเวลาไว้ ถามคำถามและโยนตัวจับเวลา ตั้งเวลานี้ไปให้นักเรียน คนที่รับได้ต้องตอบคำถามและโยนตัวจับเวลานี้ไปให้เพื่อนนักเรียนคนอื่น ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ นักเรียนคนที่มีตัวจับเวลาในมือตอนที่หมดเวลาแล้วต้องตาย เกมนี้ใช้ได้กับคำศัพท์ในหมวดต่างๆ เช่น food, animals, etc.
Train Ride Game: ให้นักเรียนตั้งแถวเป็นรถไฟ ปู้นๆ ไปรอบห้อง โดยที่ครูเป็นผู้ออกคำสั่ง เช่น faster, slower, turn left/right, stop, go
Touch: ให้นักเรียนวิ่งไปแตะสิ่งของที่ครูสั่ง เช่น "Touch the table" "Touch a chair" "Touch your bag" สีเป็นหัวข้อที่ใช้ได้ดีกับเกมนี้ เช่น "Touch something green"
Tornado: อุปกรณ์: แฟลชการ์ด (แผ่นรูปภาพหรือคำถามที่มีชื่อภาพหรือหมายเลขอยู่ด้านหลัง) 'Tornado Cards' (คือแฟลชการ์ดที่มีตัวเลขบนด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเป็นรูปทอร์นาโด) เอาแฟลชการ์ดด้านที่เป็นตัวเลขติดบนกระดาน ให้ด้านที่เป็นภาพหรือคำถามอยู่ด้านหลัง จะให้เป็นภาพหรือคำถามขึ้นอยู่กับอายุหรือระดับชั้นของนักเรียน ให้ปนทอร์นาโด การ์ดลงไปในนั้นด้วย 6 ใบ จากนั้น ให้นักเรียนเลือกบัตร หากเลือกได้บัตรเลข หากตอบคำถามถูกทีมนั้นจะได้ลากเส้นหนึ่งเส้นเพื่อวาดรูปบ้าน แต่หากเลือกได้บัตรทอร์นาโดทีมตรงข้ามก็เสียสิทธิในการลากเส้น ทีมไหนลากเส้นสุดท้ายที่ทำให้รูปบ้านสมบูรณ์ ทีมนั้นชนะ
Unscramble: เขียนคำบนกระดานโดยให้ตัวสะกดคละกัน เช่น "lrocsmaos" = "classroom" นักเรียนต้องจัดเรียงตัวอักษรที่คละกันให้ออกมาเป็นคำศัพท์ที่ถูกต้อง เกมนี้เหมาะที่จะเล่นเป็นทีม สามารถเลือกใช้บล็อกตัวอักษรหรือตัวอักษรพลาสติกแทนการเขียนบนกระดาน
Vanishing Objects Game: วางสิ่งของหลายๆ อย่างไว้ข้างหน้านักเรียน ให้เวลานักเรียนในการจำสิ่งของเหล่านั้นและให้นักเรียนหลับตา ครูหยิบของออกไปหนึ่งชิ้นแล้วบอกให้นักเรียนเปิดตา นักเรียนคนแรกที่บอกได้ว่าของอะไรที่หายไปจะได้ของชิ้นนั้นไปครอง (เหมือนได้ 1 คะแนน) และเริ่มรอบใหม่
Word Chain: ให้นักเรียนนั่งเป็นรูปวงกลมกับครู   ครูพูดคำหรือประโยคออกมา นักเรียนคนที่นั่งถัดไปพูดตามและเพิ่มคำใหม่เข้าไปหนึ่งคำ นักเรียนคนที่สองพูดตามทั้งสองคำและเพิ่มคำใหม่เข้าไปอีกหนึ่งคำ เล่นไปเรื่อยๆ จนครบรอบหรือจนกว่าคำจะมีมากจนจำไม่ได้แล้ว
Whisper Game: ให้นักเรียนนั่งในวงกลมกับครู ครูกระซิบคำหรือประโยคให้นั่งเรียนที่นั่งข้างๆ ฟัง เช่น "I'm hungry" นักเรียนคนนั้นหันไปกระซิบให้เพื่อนที่นั่งถัดไปฟัง ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงนักเรียนคนสุดท้าย นักเรียนคนนั้นต้องพูดประโยคออกมาดังๆ เพื่อดูว่าเหมือนประโยคต้นฉบับที่ครูกระซิบหรือไม่
Whiteboard Draw Relay: แบ่งนักเรียนออกเป็นสองทีม ให้ทั้งสองทีมตั้งแถวให้ไกลจากกระดานให้มากที่สุด ครูพูดคำแรกออกมาดังๆ ให้นักเรียนคนแรกของทั้งสองทีมได้ยิน นักเรียนทั้งสองคนต้องวิ่งไปที่กระดาน วาดภาพของคำนั้น วิ่งกลับมาที่ทีมของตัวเอง ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ทีมไหนทำเสร็จก่อนเป็นผู้ชนะ ครูอาจทำให้เกมยากขึ้นด้วยการให้เพื่อนร่วมทีมคนที่สองทายให้ได้ก่อนว่ารูปที่เพื่อนคนแรกวาดคืออะไรแล้วจึงจะวิ่งกลับมาแล้วเปลี่ยนเพื่อนคนที่สองวิ่งไปที่กระดานได้
Window Game: เกมนี้จะเล่นได้ต่อเมื่อห้องเรียนมีหน้าต่างที่ออกไปยืนข้างนอกแล้วมองเข้ามาในห้องได้เท่านั้น (อย่าลองเล่นเกมนี้ในห้องเรียนที่ไม่ได้อยู่ชั้นหนึ่งเชียว!) ครูสาธิตการเล่นให้นักเรียนดูก่อน ให้นักเรียนยืนอยู่ด้านหน้าหน้าต่างและครูเดินออกจากห้องไปยืนที่อีกด้านหนึ่งของหน้าต่าง โบกมือให้นักเรียนและทำปากพูดคำออกมา (เหมือนกับการพูดกันผ่านกระจกและอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ยิน) พอกลับเข้ามาในห้องให้นักเรียนบอกว่าครูพูดอะไร นักเรียนคนที่ตอบถูกก่อนจะได้ไปยืนพูดด้านนอกห้อง
Word Recognition Game: เขียนคำที่นักเรียนเรียนไปแล้วบนบัตร (โปสการ์ดจะดีมาก) ให้นักเรียนทั้งหมดยืนที่ฝั่งหนึ่งของห้อง ครูยืนกลางห้อง ชูบัตรขึ้นมาหนึ่งใบ นักเรียนเดินมากระซิบคำนั้นที่หูครู หากถูกต้องให้นักเรียนไปยืนอีกฝั่งหนึ่งของห้อง นักเรียนจะทายกี่ครั้งก็ได้
Zoo Game: กิจกรรมนี้เหมาะกับเด็กเล็กที่เรียนเรื่องเสียงของสัตว์ หลังจากสอนเรื่องสัตว์ชนิดต่างๆ และเสียงของมันแล้ว ให้นักเรียนแต่ละคนนั่งตามจุดต่างๆ ในห้องให้เป็นสัตว์แต่ละชนิด (เพื่อให้ชัดเจนสำหรับเด็กเล็ก ควรให้นักเรียนคนนั้นถือแฟลชการ์ดรูปสัตว์ชนิดนั้นๆ ไว้) ครูเดินรอบห้องไปคุยกับนักเรียนแต่ละคนซึ่งจะตอบได้ด้วยเสียงของสัตว์ที่ตัวเองเป็นเท่านั้น เช่น ครูพูดว่า  "Hello Chai" นักเรียนตอบว่า "Moo!" (วัว) ครูพูดกับนักเรียนอีกคนว่า "What's your name?" นักเรียนตอบว่า "Roar!" (สิงโต) ครูพูดกับนักเรียนอีกคนว่า "How are you, Noi?" นักเรียนคนนั้นตอบว่า "Bow-wow!" (สุนัข)

กลวิธีการสอนภาษาอังกฤษให้สนุก(กิจกรรม)

 กิจกรรมการสอนภาษาอังกฤษ
  การเรียนรู้ในชั้นเรียนถือเป็นวินาทีที่ยิ่งใหญ่ในการสร้างความรักในการเรียนภาษาอังกฤษ จะสอนภาษาอังกฤษยังไงให้เด็กๆชอบ ครูภาษาอังกฤษ 100 % ทุกคนตอบได้ค่ะ
“สอนจากสิ่งที่พวกเขารัก”

เด็กๆมีธรรมชาติแห่งช่วงวัยที่งดงาม เป็นวัยที่สดใส แสนซ่า และวัยรุ้น..วัยรุ่น ถ้าเป็นเด็กๆในช่วงประถมศึกษา ภาพที่ผู้เขียนยังจำได้ติดตา คือ คุณครูผู้สอนที่น่ารัก พยายามฝึกให้เราอ่าน ABC ด้วยความพยายามของครูเช่นกัน เมื่อครูก็พยายามเราก็พยายาม มันก็เลยพอไปได้ค่ะ พอโตขึ้นมาอีกหน่อย คุณครูก็เริ่มดุขึ้นแล้ว ท่องศัพท์ไม่ได้ ก็ตี ตี ตี ได้แต่ร้องตะโกนบอกฟ้า (ตามเพลงฮิตสมัยนั้น) ว่า “ครูขาถึงจะตียังไงหนูก็ไม่ได้อยู่ดีค่ะครู ได้โปรดอย่าทำร้ายฉัน”แล้วลองมองที่ปัจจุบันนะคะ....ลองมองที่สังคมไทย สมัยนี้ ถ้าครูสอนแบบตามมี ตามเกิด สอนเท่าที่พยายามเหมือนครั้งกระนู้น เด็กๆเขามีแรงกดดันอยู่แล้วจากสังคม มันจะไปเหลืออาไร้....
เพราะฉะนั้น ลบภาพกิจกรรมการท่องการอ่านตามตำราอย่างเดียวไปก่อนค่ะ แล้วลองอ่านตัวอย่างกิจกรรมที่เด็กๆรัก ดังต่อไปนี้ค่ะ
1. เพลง การสอนให้เด็กๆร้องเพลงภาษาอังกฤษ ช่วยได้มากค่ะ เด็กๆจะได้ทั้งความสนุกสนาน เพลิดเพลินและจะคุ้นเคยกับการใช้สำเนียงภาษาอังกฤษโดยไม่เคอะเขิน แถมด้วยการโยกย้ายส่ายสะโพกตามเพลงซะด้วย สุดยอดเลยค่ะ พอร้องเพลงแล้ว ต้องรีบฉกฉวยโอกาสทองในการทบทวนคำศัพท์ทั้งหมดที่ได้เรียนไปค่ะ
2. เกม การเล่นเกมภาษาอังกฤษ สามารถมัดใจของเด็กๆได้อยู่หมัดเลยนะคะ มีเกมภาษาอังกฤษที่ผู้เขียนใช้แล้วประสบความสำเร็จมาก ส่วนชื่อเกมอาจจะปรับเปลี่ยนได้แล้วแต่ครูผู้สอน ดังนี้ค่ะ
-Spin the bottle เป็นเกมที่เหมาะกับการฝึกทักษะการถาม – ตอบภาษาอังกฤษ โดยเด็กๆนั่งเป็นวงกลม ครูเดินเข้าไปกลางวงและเริ่มหมุนขวด เมื่อปลายขวดชึ้ไปที่ใครให้เด็กคนนั้นตอบ ครูตั้งคำถาม เช่น “ What is your favorite food” แล้วเปลี่ยนคนที่ตอบแล้วมาถามคนถัดไปจนครบทุกคน หรือปรับได้ตามความเหมาะสมของเวลาค่ะ
- Listen and take เป็นเกมสนุกๆ เหมาะกับการฝึกทักษะการอ่านและฟังค่ะ โดยครูและเด็กๆช่วยกันวางคำศัพท์บนพื้น หรือติดคำศัพท์ไว้บนกระดาน แล้วแบ่งเด็กออกเป็นสองกลุ่ม แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมาเล่นเกม ครูอ่านคำศัพท์และให้ผู้เล่นหยิบคำศัพท์ให้ตรงกับที่ครูอ่าน ใครหยิบได้ก่อนเป็นผู้ได้คะแนนค่ะ เด็กๆสามารถเล่นได้จนครบทุกคนค่ะ
- Listen and write เป็นเกมที่เหมาะกับการฝึกทักษะการฟังและการเขียนค่ะ โดยครูอ่านคำศัพท์และให้ผู้เล่นเขียนคำศัพท์ให้ตรงกับที่ครูอ่าน ซึ่งถ้าเป็นคำศัพท์ที่ยากเกินไป ครูอาจจะเขียนตัวอักษรบางตัวให้ค่ะ เด็กๆจะได้รู้สึกอยากล่นมากขึ้น เกมนี้ถ้าจัดเป็นกลุ่มจะดีมากค่ะ
- Listen and circle เป็นเกมสนุกๆ เหมาะกับการฝึกทักษะการอ่านและฟังค่ะ โดยครูและเด็กๆช่วยกันเขียนคำศัพท์ไว้บนกระดาน แล้วแบ่งเด็กออกเป็นสองกลุ่ม แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมาเล่นเกม ครูอ่านคำศัพท์และให้ผู้เล่นวงกลมคำศัพท์ให้ตรงกับที่ครูอ่าน ใครวงกลมได้ก่อนเป็นผู้ได้คะแนนค่ะ เด็กๆสามารถเล่นได้จนครบทุกคนค่ะ
- Hang Man เกมต้นตำรับที่ท้าทาย ตื่นเต้น และฝึกทักษะการเขียนได้ดีมากค่ะ
- Hot Ball เป็นเกมที่เด็กชื่นชอบ เพราะนอกจากจะได้เล่นลูกบอลสนุกๆแล้ว ยังได้ฝึกพูดภาษาอังกฤษกับเพื่อนๆ วิธีการเล่น คือ ผลัดกันโยนลูกบอลโดยสมมติให้เป็นลูกบอลที่ร้อนที่สุด ใครได้รับพยายามแต่งประโยคภาษาอังกฤษ หรือบอกคำศัพท์ตามโจทย์ที่ได้รับ ถ้านึกไม่ออกก็ส่งบอลให้เพื่อนก่อน แต่ห้ามส่งบอลโดยที่ไม่ตอบอะไรเลยเกิน 3 ครั้งค่ะ ไม่อย่างนั้นต้องเข้ามากลางวงร้องและเต้นเพลงให้เพื่อนๆได้หัวเราะก่อนเรียนนะคะ
- Music Ball เป็นเกมที่เด็กชื่นชอบเช่นกันค่ะ วิธีการเล่น คือ ครูจะเปิดเพลงให้เด็กๆผลัดกันส่งลูกบอลไปตามเพลงด้วยความสนุกสนาน ถ้าเพลงหยุดที่ใครให้แต่งประโยคภาษาอังกฤษ หรือบอกคำศัพท์ตามโจทย์ที่ได้รับ
- Snap เป็นเกมที่ฝึกทักษะการอ่านและเขียนคำศัพท์ เกมนี้เหมาะกับการเล่นในเวลาพัก เช่น หลังจากทำงานเสร็จ วิธีการเล่น คือ จับคู่ แล้วนำบัตรคำศัพท์มาวางตรงกลาง (คว่ำด้านคำศัพท์ลง) เมื่อพร้อมแล้วให้สัญญาณ ใครเอามือวางทับบัตรคำ (ตะครุบ)ได้ก่อนเป็นผู้ได้บัตรคำและ ให้ผู้เล่นฝั่งตรงข้ามสะกดคำศัพท์นั้น ถ้าสะกดถูกต้องจะได้บัตรคำศัพท์นั้นไป

3. สื่อมัลติมีเดีย เป็นการเพิ่มทางเลือกในการเรียนภาษาอังกฤษได้ดีมาก ทุกวันนี้มี Website สำหรับนักเรียน นักศึกษาที่น่าสนใจมาก เด็กๆสามารถฝึกออกเสียงได้ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษา พร้อมกับชมภาพสวยๆ น่ารักๆนอกจากนั้นยังมีเกมที่น่าสนใจอีกมากมายค่ะ

4. หนังสือ เพื่อนที่ดีที่สุดของเด็กๆ คือ หนังสือค่ะ ครูอาจจะเลือกหนังสือมาอ่านให้เด็กๆฟัง แล้วทบทวนคำศัพท์หลังการอ่าน ถ้าเป็นเด็กโต ก็อาจจะให้เด็กๆเลือกเรื่องที่ชอบมาอ่านให้ครูและเพื่อนๆฟัง แล้วตั้งคำถามตอบเพื่อนก็ได้ค่ะ
5. งานศิลปะ การที่เด็กๆได้ทำชิ้นงานศิลปะ เช่น งานฝีมือ การวาดภาพระบายสี ฯลฯ เป็นช่วงเวลาที่เด็กๆมีความสุขมากค่ะ ในขณะเดียวกันคุณครูสามารถสอนภาษาอังกฤษไปพร้อมๆกับการทำกิจกรรมนั้นด้วย เป็นการศึกษาแบบบูรณาการที่ดีมาก

สะกดศัพท์อังกฤษให้ถูก...ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป!

 พี่มิ้นท์ เคยเขียนบทความเกี่ยวกับภาษาอังกฤษมาก็หลายเรื่องแล้ว แต่ก็ยังมีน้องๆ แอบมาถามอีกว่า มีปัญหากับการเรียนภาษาอังกฤษ ไม่ต้องถึงขนาด คอนเวอเซชั่นยากๆ หรือแกรมม่าโหดๆ เอาแค่ศัพท์ภาษาอังกฤษก็ยังไม่ค่อยรอด เพราะจำคำศัพท์ยาวๆ ยากๆ ไม่ได้ เวลาเขียนก็เขียนไม่เคยถูก จะมีวิธีไหน แก้ได้บ้าง??

               ปิ๊งงง!! พี่มิ้นท์ ขอเสนอวิธี การ "แยกคำอ่าน" วิธีนี้ง่ายมากๆ แค่เอาคำภาษาอังกฤษยาวๆ มาแยกเป็นวรรคๆ ให้อ่านง่าย และอ่านตามรูปคำที่เขียน เพื่อให้จำวิธีเขียนได้ง่ายขึ้น ถ้ายังนึกภาพไม่ออก ลองมาดูตัวอย่างกันค่ะ
 
               สมมติว่าน้องๆ เจอคำยาวประมาณ 3 กิโล แถมอ่านก็ยาก คาดว่า คำนี้คงทำให้อนาคตล่มจมแน่ๆ ก็ลองดูว่าสามารถแยกอ่านอะไรที่มันง่ายๆ ได้บ้าง ขอเน้นให้
"อ่านได้" และ "อ่านง่าย" เป็นหลักนะคะ เช่น

               คำแรก synthesis โอ้ว..แม่เจ้า เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นครั้งแรก อ่านก็ยาก จำก็ยาก ตายแน่ฉัน!! ใจเย็นค่ะ ยังไม่ตายแน่นอน
               คำว่า synthesis อ่านว่า ซิ้นธิซิส แปลว่า สังเคราะห์ ถ้ากลัวจำไม่ได้ หรือสะกดไม่ถูก ลองแยกคำตามนี้ค่ะ  syn - the - sis จัดการวิธีอ่านใหม่ เป็น ซิ้น-เดอะ-ซิส ซะเลย
              พอเราแยกคำอ่านแบบนี้แล้ว เวลาน้องๆ เอาปากกาลงเขียนก็จะนึกถึงคำอ่านนี้ รับรองว่าสะกดถูกทุกตัวแน่นอน แต่ก็มีคำเตือนนะคะว่า วิธีเอาไว้ใช้แก้ปัญหาสะกดคำไม่ถูกเท่านั้น!! แต่น้องๆ ก็ต้องรู้คำอ่านที่แท้จริงของคำศัพท์นั้นๆ ด้วย เพื่อไม่ให้เข้าใจผิดในอนาคตค่ะ                                          หรือตัวอย่างอื่นๆ เช่น
 
สะกดศัพท์อังกฤษให้ถูก...ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป!!


              dentistry (นี่มันอะไรเนี่ยยย) "เด้นท์ - ทริส - ทรี" หมายถึง ทันตกรรม หรือ คณะทันตแพทยศาสตร์ ถ้าจำยากเกินไป ก็จัดการแยกคำอ่านซะ เป็น  dent - is - try  "เด้นท์ - อีส - ไทร์" สามคำสามพยางค์อ่านง่าย เขียนง่าย
 

              routine "รู-ทีน" แปลว่า งานประจำ คำนี้พอถึงเวลาสะกด น้องๆ อาจหลงลืม ตัวโอ ( O ) ก็เป็นได้ เพราะจะเอาตัว U มาเป็นสระออกเสียงอย่างเดียว ฉะนั้นเพื่อกันลืมเวลาท่อง ลองเอาคำนี้มาจับแยกให้ "ตัวโอ" มีบทบาทขึ้นหน่อย เป็น  ro - u - tine  อาจจะอ่านเป็น โร-อู-ทีน อะไรก็ว่าไป
             อีกตัวอย่างนึง เช่น professor "โพร - เฟส - เซอร์" คำนี้อันตรายสำหรับใครหลายๆ คน เพราะ อาจจะใส่ s ตัวเดียว หรือ คำว่า sor ใช้ e แทน o เพราะเขียนตามเสียงอ่าน เพราะฉะนั้น แบ่งวรรคตามใจฉันเลย เป็น pro-fes-sor อาจจะอ่านเป็น โพร - เฟส - ซอร์ ไปก่อนก็ได้ไม่ว่ากัน ถึงเวลาเขียนก็นึกถึงคำที่แบ่ง เขียนตามเสียงที่เราอ่าน สะกดยังไงก็ไม่มีผิดค่ะ (แต่เขียนเสร็จแล้ว ก็กลับมาอ่านว่า โพรเฟสเซอร์ เหมือนเดิมด้วยนะ)
             การแบ่งคำอ่าน และการออกเสียงตามรูปคำที่เห็น มีประโยชน์มากๆ สำหรับการท่องศัพท์ เพราะตอนลงมือเขียนสมองเราจะประมวลผล นึกไปถึงภาพการแบ่งคำ ที่มีเส้นๆ ขีดคั่นกลางอยู่ การจดจำคำสั้นๆ นั้นจำง่ายกว่ายาวเฟื้อยอยู่แล้ว ส่วนมือก็จะเขียนตามที่เราออกเสียงแบบใหม่ ซึ่งการอ่านตามรูปคำที่เห็นจะช่วยให้เราเขียนถูกต้อง แม่นยำ 100%

             วิธีแยกคำอ่านยังสามารถเอาไปใช้กับคำสั้นๆ ก็ได้ ถ้าหากคำนั้นมันเขียนยากเหลือเกิน ซึ่งก็แล้วแต่น้องๆ เอาไปประยุกต์ใช้นะคะ

             แต่ก็อย่างที่พี่มิ้นท์ได้เตือนไว้ตั้งแต่แรกแล้วนะคะว่า วิธีนี้เป็นวิชามารช่วยแก้ปัญหา เขียนคำศัพท์ยากๆ ไม่ถูก ให้กลายเป็นเขียนถูกต้องแม่นยำเว่อร์ ยาว 25 กิโลก็ยังเขียนถูก แต่ถ้าเขียนถูกแล้ว น้องๆ ยังต้องรู้จักคำอ่านที่ถูกต้องด้วย จะได้ไม่เอาไปอ่านผิดๆ นะคะ
             อ้อ..เขียนได้ อ่านได้ ต้องรู้ความหมายด้วยนะเออ จะได้ครบถ้วน สมบูรณ์^^

แนะนำ 5 เคล็ดลับ…ทำยังไงถึงจะอ่านภาษาอังกฤษให้เก่ง

แนะนำ 5 เคล็ดลับ…ทำยังไงถึงจะอ่านภาษาอังกฤษให้เก่ง


สำหรับคนไทย การอ่านภาษาอังกฤษต่างๆผ่านสื่อไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือแม้แต่นิยายภาษาอังกฤษก็ถือเป็นเรื่องยาก และการฝึกอ่านภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่เราพยายามจะหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด
ผมเองเมื่อก่อนก็เคยเกลียดสุดๆเลย พวกหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษเนี่ย อ่านไปก็ไม่เข้าใจ จับต้นชนปลายไม่ถูกเลย เพราะปัญหามันอยู่ที่ว่า…ภาษาที่ใช้ในในข่าวเป็นภาษาที่ยากที่สุด เพราะคนเขียนข่าวมักใช้คำสั้นและแรงที่สุด เพื่อดึงดูดความสนใจให้ขายข่าวได้นั่นเอง
จากนั้นผมก็เริ่มถอยหลังมา 1 ก้าว เริ่มต้นจากการอ่านอะไรที่มันง่ายๆนี่แหละ นั่งอ่านนิทานอีสป (Aesop’s Fables) เป็นภาษาอังกฤษพร้อมคำแปล จากนั้นก็เริ่มจับนิยายยอดฮิตอย่าง Harry Potter ขึ้นมาอ่าน แรกๆก็เปิดดิกชันนารี่บ่อยนะ(บ่อยมากๆๆ) แต่อ่านไปเรื่อยๆก็เริ่มชิน แล้วก็พอเดาคำศัพท์จากบริบทได้เอง
ทีนี้ผมมี “หลักการ 5 ข้อในการอ่านภาษาอังกฤษให้เก่ง” มาฝากครับ
readingenglish
1. เลือกอ่านหนังสือเล่มที่อยากอ่านจริงๆเท่านั้น
เพราะจะเป็นแรงบันดาลใจให้อ่านได้ต่อเนื่อง จนเกิดนิสัยรักการอ่านในอนาคต ถ้าเราไปเลือกผิด จับหนังสือที่ไม่สนุก หรือใช้ภาษาที่ซับซ้อนเกินไป ถึงอ่านไปก็ไม่เข้าใจ พาลชวนให้ล้มเลิกความพยายามเสียเปล่าๆ ดังนั้นต้องถามตัวเองก่อนนะว่าเราชอบหนังสือภาษาอังกฤษแนวไหนกันแน่? อาจเป็นการ์ตูนฝรั่ง นิตยสารแฟชั่น หรือแม้แต่นิยายภาษาอังกฤษก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีได้ทั้งนั้น
choosebook
2. ถ้ารู้สึกเบื่อหรือหนังสือยากเกินไป ให้หยุดอ่านแล้วเปลี่ยนเล่มใหม่ทันที
แนะนำให้หาเล่มที่อ่านง่ายก่อน เพราะดูเหมือนเราจะยังไม่พร้อมที่จะอ่านเล่มยากๆตอนนี้ ถ้าไม่มีสมาธิ อ่านไปเรื่อยๆยังไงก็ไม่ซึมซับครับ สู้อ่านเรื่องที่เราชอบ หรือถนัดดีกว่า พอมีอารมณ์ร่วมไปกับหนังสือภาษาอังกฤษแล้วมันก็จะทำให้เราอ่านได้นานๆจนลืมเวลาไปเลยล่ะ 
เดาศัพท์ภาษาอังกฤษ
3. ฝึกเดาความหมายศัพท์ที่ไม่รู้
โดยพิจารณาจากศัพท์หรือประโยคข้างเคียง ถ้าเดาไม่ออกก็ให้อ่านข้ามไปได้ อย่าไปกลัวว่าจะไม่เข้าใจเนื้อหาทั้งหมดอย่างครบถ้วน เพราะการอ่านหนังสือภาษาอังกฤษเพื่อฝึกภาษาอังกฤษนั้นเน้นทำความเข้าใจเนื้อเรื่องโดยรวม และการเห็นคำศัพท์และโครงสร้างไวยากรณ์ซ้ำๆ บ่อยๆก็จะจำและตีความได้เอง
nodictionary
4. เปิดพจนานุกรมขณะอ่านให้น้อยที่สุด
มีงานวิจัยด้านภาษาได้ระบุไว้ว่า นักอ่านที่หยุดอ่านเป็นระยะๆ (slow reader) จะมีกระบวนการเรียนรู้ภาษาช้ากว่าคนที่ฝึกอ่านเร็วๆ (speed reader) ในช่วงแรกอาจต้องพึ่งพาดิกชันนารี่ แต่พอผ่านไปถึงจุดๆหนึ่งก็ต้องพึ่งพาตัวเองแล้วล่ะครับ  จะได้ฝึกอ่านภาษาอังกฤษอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สุดท้ายแล้วมีความรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษอยู่ในหัวก็ยังดีกว่าต้องมาคอยเปิดดิกชันนารี่หาความหมายทุกคำอยู่ดี
girl-reading
5. อ่านหลายๆรอบ
ยิ่งอ่านซ้ำหลายๆรอบ จะช่วยทำให้เข้าใจเนื้อเรื่องและเพิ่มความสามารถภาษาอังกฤษได้มากขึ้นโดยอัตโนมัติ อ่านไปเถอะครับ ไม่ต้องไปนับว่ากี่ครั้ง จะเป็นสิบ หรือเป็นร้อยรอบแต่ถ้ามันทำให้เราเก่งภาษาอังกฤษ อ่านข่าวภาษาอังกฤษรู้เรื่อง ก็คุ้มค่า

my self

Let me introduce myself. My name is Kantika   Pasawang. You can call me Kie.Now, I'm study in Rajabhat Maha Sarakham university, faculty of Education, English major.